วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

บทความปลายภาคที่ 4


บทความปลายภาคที่ 4



               10 ทักษะไอทีที่นายจ้างต้องการมากที่สุดในปี 2015



เว็บไซต์ Computer world’s สหรัฐฯ ได้ทำการสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการในการจ้างพนักงานไอทีเข้าทำงานในปี 2015 จำนวน 194 ราย พบว่า 10 ทักษะไอทีที่นายจ้างต้องการมากที่สุด ได้แก่ ทักษะด้านงาน Programming และ application development ซึ่งคงอันดับ 1 เช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว

1. 48% มองหาคนที่มีทักษะด้าน Programming/application development
คงที่อันดับ 1 เมื่อปีที่แล้ว
          โปรแกรมเมอร์มีส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า คนที่มีความถนัดด้านการพัฒนาโปรแกรมและมีประสบการณ์มากพอที่จะจัดการความต้องการที่ซับซ้อนได้เป็นอย่างดีกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก

2. 35% มองหาคนที่มีทักษะด้าน Project management
ขยับขึ้นจากอันดับ 5 เมื่อปีที่แล้ว
          จะเห็นว่าในปีนี้มีความต้องการ Project Manager เพิ่มขึ้นถึง 4 อันดับ โดย Project Manager ที่ดีต้องมีทั้งความเฉียบแหลมทางธุรกิจและความรู้ด้านเทคโนโลยีควบคู่กัน นอกจากจะสามารถดูแลโครงการขนาดใหญ่ได้แล้ว ยังจำเป็นต้องมีประสบการณ์เป็นผู้นำในการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบต่าง ๆ เช่น เปลี่ยนจากวิธีดั้งเดิมแบบ Waterfall เป็น Agile เพื่อให้งานสั้นลง ประหยัดเวลา และประหยัดงบประมาณ ใครมีคุณสมบัติเหล่านี้รับรองว่าไปได้ไกลแน่นอน

3. 30% มองหาคนที่มีทักษะด้าน Help desk/technical support
ตกจากอันดับ 2 เมื่อปีที่แล้ว
          ความต้องการ Help desk และ technical support ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ยังมีการพัฒนาอุปกรณ์และและแอพลิเคชั่น ก็ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญงาน IT Support อยู่นั่นเอง

4. 28% มองหาคนที่มีทักษะด้าน Security/compliance governance
ขยับขึ้นจากอันดับ 7 เมื่อปีที่แล้ว
          ความปลอดภัยด้านไอทีหมายถึงความปลอดภัยของธุรกิจ ปัจจุบันผู้ประกอบการยอมลงทุนมากขึ้นในเรื่องความปลอดภัย จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทักษะด้านงาน IT Security และ compliance governance เป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นในปีนี้ องค์กรต้องการคนที่มีความชำนาญที่จะช่วยรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ป้องกันภัยคุกคาม และอุดช่องโหว่ทางไอทีให้แก่บริษัท

5. 28% มองหาคนที่มีทักษะด้าน Web development
ไม่ติดอันดับเมื่อปีที่แล้ว
          ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเว็บเป็นหนึ่งในทักษะที่หายากที่สุด เนื่องจากความต้องการของฝ่ายนายจ้างกับลูกจ้างไม่สัมพันธ์กัน มีช่องว่างระหว่างสิ่งที่บริษัทต้องการจะทำ กับความสามารถในการดำเนินการของ Web Developer ตามความต้องการนั้น

6. 26% มองหาคนที่มีทักษะด้าน Database administration
คงที่อันดับ 6 เมื่อปีที่แล้ว

          การบริหารฐานข้อมูลเป็นบทบาทที่เหนื่อยและหนัก ยิ่งบริษัทที่ต้องจัดการกับ Big Data ยิ่งต้องการตัวคนที่มีทักษะด้านงาน Database ซึ่งไม่ใช่แค่สามารถจัดเก็บข้อมูลมหาศาล แต่ต้องเข้าใจว่าฐานข้อมูลเหล่านั้นถูกจัดเก็บอย่างไรด้วย

7. 24% มองหาคนที่มีทักษะด้าน Business intelligence/analytics
ขยับขึ้นจากอันดับ 8 เมื่อปีที่แล้ว
          เมื่อผู้ประกอบการหันมาสนใจ Big Data มากขึ้น จึงไม่แปลกที่ Business intelligence/analytics จะเป็นที่ต้องการขึ้นมาด้วย เนื่องจากบริษัทต้องการคนที่จะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นในเชิงลึก และนำข้อมูลที่ได้มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด

8. 24% มองหาคนที่มีทักษะด้าน Mobile applications and device management
ตกจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว
          ยิ่งความต้องการใช้งาน mobile apps เพิ่มขึ้น องค์กรยิ่งต้องการคนพัฒนาแอพให้ทันต่อความต้องการของตลาด อย่างไรก็ดี การจ้างพนักงานใหม่อาจไม่สามารถตอบโจทย์เพียงพอ หลายองค์กรจึงเลือกที่จะเทรนด์พนักงานที่มีอยู่ให้สามารถดำเนินการตามความต้องการได้อย่างทันท่วงที เพราะเหตุนี้ทักษะนี้จึงตกอันดับลงมา

9. 22% มองหาคนที่มีทักษะด้าน Networking
ตกจากอันดับ 3 เมื่อปีที่แล้ว
          ยังคงมีความต้องการคนไอทีที่มีทักษะด้านงาน Networking ในปีนี้ สอดคล้อดกับผลสำรวจของ Robert Half Technology IT Hiring Forecast and Local Trend Report พบว่า 57% ระบุว่า network administration เป็นทักษะที่องค์กรต้องการอย่างมาก เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียที่ระบุว่า ทักษะ Networking เป็น 1 ใน 7 ทักษะที่หน่วยงานด้านไอทีต้องการ

10. 20% มองหาคนที่มีทักษะด้าน  Big data
ขยับขึ้นจากอันดับ 11 เมื่อปีที่แล้ว
          เว็บไซต์หางานด้านไอทีในสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจเมื่อเดือนกันยายน 2557 ว่า มีการลงประกาศงานในตำแหน่งที่เกี่ยวกับ Big data เพิ่มขึ้นถึง 56% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งความต้องการที่มีมากขึ้นนี้ทำให้ค่าตอบแทนสำหรับคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้สูงตามไปด้วย


                                             อ้างอิง (http://th.jobsdb.com/th-th/articles/ทักษะไอทีปี-2015) 15/06/2015

บทความปลายภาคที่ 3

บทความปลายภาคที่ 3 10 เคล็ดลับ พรีเซ็นต์สไตล์ สตีฟ จ็อบส์


                    10 เคล็ดลับ พรีเซ็นต์สไตล์ สตีฟ จ็อบส์


  สตีฟ จ็อบส์ คือผู้นำเสนอที่เก่งมากคนหนึ่ง มีหลายต่อหลายเวทีที่เขาสามารถสร้างความประหลาดใจให้กับแขกในงาน โดยเฉพาะบนเวทีประจำอย่าง Macworld ทุกครั้งที่เขาขึ้นเวทีนี้ จะต้องได้ยินเสียง ว้าว! เสียงหัวเราะ และเสียงปรบมือ หรือแม้แต่ความเงียบสงบเมื่อคนดูใจจดใจจ่อยู่กับการถ่ายทอดสดบนจอขนาดใหญ่บนเวที ทุกครั้งที่ สตีฟ จ็อบส์ ขึ้นเวที เขาก็มักจะสร้างความประทับให้กับผู้ชมได้อย่างดี

   และต่อไปนี้คือ เคล็ดลับ 10 ประการ ของการนำเสนอที่จะช่วยสะกดผู้ฟังให้ถูกตรึงอยู่กับการพรีเซ็นเตชัน
  1. กำหนดหัวข้อหรือโครงเรื่อง “There is something in the air today.”เป็นสำนวนที่จ็อบส์กล่าวเปิดงาน Macworld โดยเขาเซ็ตธีมหรือหัวข้อการอภิปราย และมีการซ่อนสินค้าตัวสำคัญเอาไว้เปิดตัวทีหลัง นอกจากจะต้องสร้างธีมของตัวเองแล้ว ยังต้องสามารถพูดให้จบภายในเวลาที่กำหนดด้วย
  2. กระตุ้นความสนใจด้วยการสาธิตให้เห็นจริงจ็อบส์ชอบที่จะแสดงความหลงใหลของเขาในด้านการออกแบบคอมพิวเตอร์ เพราะผู้ฟังต้องการได้ยินหรือเห็นอะไรที่น่าประทับใจ ไม่ใช่มานั่งหลับเพราะการพรีเซ็นต์ที่ขาดแรงดึงดูด ให้คุณคิดถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของฟีเจอร์ที่เป็นจุดขายในตัวสินค้า ให้พูดถึงมันอย่างสะใจเลยว่า “เจ๋งมาก”, “ยอดไปเลย”, “เยี่ยมที่สุด” ถ้าคุณไม่ได้แสดงความกระตืนรือร้นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ คุณจะคาดหวังอะไรจากผู้ฟังของคุณ
  3. เตรียมโครงเรื่องของภาพคร่าวๆ จ็อบส์มีวิธีที่จะพูดถึงโครงเรื่องในการพรีเซ็นต์ด้วยคำพูดที่ว่า “วันนี้ผมมีอยู่ 4 เรื่องที่อยากจะมาบอกกับคุณ ขออนุญาตเริ่มจาก…” จากนั้นก็เริ่มพูดไปตามโครงเรื่องที่ได้วางเอาไว้ แล้วใช้คำพูดเปิดและปิดในแต่ละเรื่องจนครบทั้ง 4 ตอน ซึ่งก็ทำให้รับรู้รับฟังในแต่ละช่วงอย่างดี
  4. ทำให้จำนวนมีความหมายเมื่อจ็อบส์ประกาศว่า Apple สามารถขาย iPhones ได้ 4 ล้านเครื่องแล้วจนถึงวันนี้ เขาไม่ได้ละเลยกับจำนวนที่ฟังแล้วอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เขาได้เพิ่มเติมมุมมองใหม่เข้าไปว่า “นั่นคือ iPhones ถูกขายเฉลี่ยวันละ 20,000 เครื่องเลยทีเดียว” เขาเจาะลึกลงในรายละเอียดของตลาดสมาร์ทโฟนในอเมริกาว่า มันหมายถึงอะไรเมื่อมองในภาพรวมของตลาด มันน่าชื่นชมแค่ไหนกับยอดขายที่เกิดขึ้นนี้ โดยบอกกับผู้ฟังว่า ส่วนแบ่งตลาดที่ Apple ได้มา มันเท่ากับส่วนแบ่งของคู่แข่ง 3 อันดับแรกรวมกัน เมื่อได้ฟังแล้วอาจทำให้ผู้ฟังถึงกับตะลึงในความสำเร็จเลยทีเดียว
  5. สร้างช่วงเวลาสำคัญที่จะทำให้ทุกคนจดจำมันไปอีกนานมันคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของการบรรยายที่จะต้องให้ทุกคนพูดถึงมัน ทุกครั้งที่ สตีฟ จ็อบส์ ขึ้นพูด เขามักจะมีฉากสำคัญเสมอ ซึ่งในงาน Macworld ปีล่าสุด ซึ่งเป็นงานเปิดตัวของ MacBook Air เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่า “เจ้านี่มันบางแค่ไหน” จ็อบส์ได้พูดว่า “มันบางซะจนใส่ลงในซองกระดาษได้เลย” จากนั้นจ็อบส์ก็เปิดซอง แล้วค่อยๆ ดึงมันออกมาจากซองให้ทุกๆ คนได้เห็นแล็ปท๊อป MacBook Air แล้วอะไรคือช่วงเวลาที่น่าจดจำในการพรีเซ็นของคุณ? แล้วทำให้มันมีเอกลักษณ์กว่าช่วงก่อนหน้านี้ให้จงได้
  6. สร้างวิชวลสไลด์เพื่อจำลองภาพขณะที่นักพูดทั้งหลายมักจะทำสไลด์ที่เต็มไปด้วยข้อมูล ตัวหนังสือ และชาร์ต แต่จ็อบส์กลับทำตรงกันข้าม เขาจะใส่ตัวหนังสือน้อยมาก โดยส่วนมากแล้ว สไลด์ของจ็อบส์จะใส่ภาพที่ดูสบายๆ เพียงภาพเดียว ในบางครั้งก็ไม่มีภาพบนสไลด์ แต่จ็อบส์จะบอกเล่าด้วยประโยคอย่างเช่น “There is something in the air.” มันเลยกลายเป็นเทรนด์ของการพูดในที่สาธารณะที่จะมีการสร้างภาพให้ผู้ชมได้เห็นโดยใช้กราฟิกจำลองภาพขึ้นมา และใช้จุดบุลเล็ตตามด้วยข้อความสั้นๆ และตกแต่งด้วยกราฟิกที่สวยงาม
  7. เพิ่มเสน่ห์ด้วยการสอดแทรกโชว์การขึ้นพูดบนเวทีของจ็อบส์ มักจะเต็มไปด้วยโชว์ โดยเขาเน้นการสาธิตการใช้งานมากกว่าการบอกข้อมูลข่าวสารให้กับผู้ฟัง และด้วยสีสันการนำเสนอหลากหลายรูปแบบ ทั้งคลิปวีดีโอ, การสาธิต, และการเชิญแขกขึ้นมาร่วมสนุกบนเวที มันทำให้ผู้ฟังเพลิดเพลินและดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อยเลย
  8. อย่าเหงื่อตกกับความผิดพลาดเล็กน้อยแม้ว่าคุณจะมีการเตรียมตัวอย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม แต่ความผิดพลาดก็อาจเกิดขึ้นในระหว่างการพรีเซ็นต์ สตีฟ จ็อบส์ ที่ว่าเตรียมตัวมาอย่างดีก็เคยเจอปัญหาเช่นกัน ตอนนั้นเขาต้องการที่จะโชว์ภาพแบบสดๆ จากเว็บไซต์ แต่ปรากฏว่าจอกลายเป็นสีดำแทนที่จะเป็นภาพ จ็อบส์แก้ไขสถานการณ์ด้วยการยิ้มและพูดติดตลกว่า “เออ… ผมเดาว่า วันนี้ Flickr ไม่ได้เปิดบริการอัพโหลดภาพขึ้นเว็บ” หลังจากนั้นจ็อบส์ก็พูดถึงฟีเจอร์ใหม่ต่อทันที ฉะนั้นหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าไปเสียเวลากับมัน
  9. ขายคุณประโยชน์ขณะที่พรีเซ็นเตอร์ส่วนใหญ่มักจะโฆษณาความสามารถของผลิตภัณฑ์ แต่ สตีฟ จ็อบส์ จะขายที่คุณประโยชน์ เช่น มีอยู่ช่วงนึงที่เขาแนะนำการเช่าภาพยนตร์ผ่าน iTunes โดยจ็อบส์ใช้คำพูดว่า “เราคิดว่า นี่เป็นทางที่ดีกว่าในการส่งรายชื่อภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ให้กับลูกค้าของเรา” แล้วจ็อบส์ก็ขยายความเพิ่มเติมว่า “คุณสามารถสั่งซื้อเพลงและเลือกเฉพาะเพลงที่คุณชอบได้ ซึ่งจะมีให้เลือกเป็นพันๆ เพลง ฟังกันได้ทั้งชีวิตเลยทีเดียว แล้วเมื่อคิดถึงการดูภาพยนตร์แต่ละเรื่อง เราก็มักจะดูซ้ำกันสองสามครั้งเท่านั้น แบบนี้ เลือกเช่าเอาจะดีกว่า ไม่ต้องซื้อให้เปลือง แล้วก็ไม่ต้องเสียพื้นที่บนฮาร์ดดิสก์เพื่อเก็บภาพยนตร์” เน้นว่า ให้พูดถึงคุณประโยชน์ของทุกๆ บริการ และฟีเจอร์ของสินค้าให้ชัดเจนที่สุด
  10. ซ้อม, ซ้อม, แล้วก็ซ้อมสตีฟ จ็อบส์ จะฝึกซ้อมอย่างหนักก่อนจะถึงวันพรีเซ็นต์จริงๆ ทำให้การพรีเซ็นต์มีความต่อเนื่อง ตรงประเด็น ทำให้การพรีเซ็นต์ไม่น่าเบื่อ

                                                                                    อ้างอิง(http://th.jobsdb.com/th-th/articles/)15/7/2015

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดบทที่ 8 (กิจกรรม 8)

แบบฝึกหัดบทที่ 8 การใช้สารสนเทศตามกฎหมายและจริยธรรม 

แบบฝึกหัดที่ 8


   บทที่  8 การใช้สารสนเทศตามกฎหมายและจริยธรรม                                                   กลุ่มเรียนที่ 4   

   รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                                          รหัสวิชา 0026008

   ชื่อ-สกุล  นายพงศ์เทพ  ทรงคาศรี                                                                       รหัส 56010914267


คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้

1) “นาย A ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว C เมื่อนางสาว C ทราบเขาก็เลยนำโปรแกรมนี้ ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง” การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่  หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย

ตอบ  เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม คือ นาย B และนางสาว C ไม่ได้ทำการขออนุญาติ นาย A อย่างถูกกิจลักษณะ อาจทำให้นาย A เสียหายได้ และผิดกฎหมาย คือ  กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) สาระของกฎหมายนี้มุ่งเน้นให้การคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัว ไม่ให้มีการนำข้อมูลของบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ

 2) “นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบนโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตาราต่างๆ อีกทั้งรูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย K เป็นนักเรียนในระดับประถมปลายททำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J” การกระทำอยางนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย


ตอบ  การกระทำนี้อาจกระทำขึ้นด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดความเสื่อมเสียถึงผู้ใด แต่การกระทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อื่น จึงเป็นการทำผิดจริยธรรมโดยตรง ทั้งการปลอมหลักฐาน และการหลอกลวง โดยไม่มีการทำการพิสูจน์ และยืนยันจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและขาดความน่าเชื่อถือ อาจทำให้ตนเองหมดความน่าเวื่อถือไปด้วย 

แบบฝึกหัดบทที่ 7 (กิจกรรม 7)

แบบฝึกหัดบทที่ 7 ความปลอดภัยของสารสนเทศ

 แบบฝึกหัดที่ 7


   บทที่ 7 ความปลอดภัยของสารสนเทศ                                                                  กลุ่มเรียนที่ 4     

   รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                                          รหัสวิชา 0026008

   ชื่อ-สกุล  นายพงศ์เทพ  ทรงคาศรี                                                                       รหัส 56010914267



1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์ (Fire-well) คือ เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่
นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Firewall นั้น
จะทำหน้าที่ควบคุมการใช้งาน
ระหว่าง Network ต่าง ๆ

2.จงอธิบายคำศัทพ์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm,virus computer,spy ware,adware
มาอย่างน้อย 1 โปรแกรม
ตอบ Worm เป็นไวรัสประเภทหนึ่งที่ก่อกวน สามารถทำสำเนาตัวเอง (copy) และแพร่กระจายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์
เครื่องอื่นๆ ได้ ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว และในระบบเครือข่ายเสียหายไวรัส วอร์ม นี้ปัจจุบันมีหลากหลายมาก มีการแพร่
กระจายของไวรัสได้รวดเร็วมาก ทั้งนี้เนื่องจากไวรัส วอร์ม จะสามารถแพร่กระจายผ่านทางอีเมล์ได้ ไม่ว่าจะเป็น
Outlook Express หรือ Microsoft Outlook

3.ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ Application viruses และ System viruses

4..ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ
ตอบ  1.สร้างแผ่นบูต emergency disk เพื่อใช้ช่วยในการกู้ระบบ การสร้างแผ่น emergency disk
หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Rescure disk นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเครื่องติดไวรัสที่ไม่สามารถ
จะกำจัดได้โดยผ่านระบบปฏิบัติการวินโดวส์ หรือผลกระทบของไวรัสที่ทำให้เครื่องไม่สามารถบูต
ได้ตามปกติเราก็สามารถใช้แผ่น emergency diskมาช่วยในการกู้ข้อมูลและกำจัดไวรัสออกจนทำ
ให้บูตเครื่องได้ตามปกติ
         2.ปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนหัวใจ
ของการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัส เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาออกมาใหม่ทุกวัน
ดังนั้นจึงควรที่จะสอนโปรแกรมป้องกันไวรัสให้รู้จักไวรัสชนิดใหม่ๆด้วย โดยการปรับปรุงฐานข้อมูล
ไวรัสที่ใช้งานนั่นเอง
         3.เปิดใช้งาน auto - protect โดยส่วนใหญ่โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ติดตั้งจะทำการสร้าง
โพรเซสที่จะตรวจหาไวรัสตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสสามารถถูกเอ็กซิคิวต์ในเครื่องได้
         4.ก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นที่นำมาใช้จากที่อื่นให้สแกนหาไวรัสก่อน แผ่นดิสก์ที่นำไปใช้ที่อื่นแล้ว
นำกลับมาเปิดที่เครื่อง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแผ่นนั้นไม่มีไวรัสอยู่ ดังนั้นควรจะตรวจหาไวรัสใน
แผ่นก่อนที่จะเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกบรรจุในแผ่นดิสก์ดังกล่าว
         5.ทำการตรวจหาไวรัสทุกสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์แน่นอนว่ามีไฟล์ที่ผ่านเข้าออกเครื่องมาก
มายไม่ว่าจะเป็น อี-เมล์ที่ได้รับ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต ตลอดจนไฟล์ชั่วคราวของ
โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่เก็บในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไฟล์เหล่า
นั้นไม่มีไวรัสแฝงตัวมา ดังนั้นจึงควรที่จะทำการตรวจหาไวรัส โดยการสแกนหาทั้งระบบ อาจจะเป็น
ทุกเย็นของวันศุกร์ก่อนกลับบ้านก็เป็นได้

5.มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอเน็ตที่เหมาะสมกับสังคม
ปัจจุบันได้แก่
ตอบ 1. กฏหมายคุ้มครองข้องมูลส่วนบุคคล
        2. กฏหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
        3. กฏหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
        4. กฏหมายการแลกเปลี่ยนข้อมูงทางอิเล็กทอนิกส์
        5. กฏหมายลายมือชื่ออิเล็กทอนิกส์
        6. กฏหมายการโอนเงินทางอิเล็กทอนิกส์
        7. กฏหมายโทลคมนาคม
        8. กฏหมายระหว่างประเทศ
        9. กฏหมายืั้เกี่ยวเนื่องกับระบบอินเตอร์เน็ต
       10. กฏหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็กทอนิกส์และคอมพิวเตอร์

แบบฝึกหัดบทที่ 6 (กิจกรรม 6)

แบบฝึกหัดบทที่ 6 การประยุกต์ใช้สารสนเทศในชีวิตประจำวัน


แบบฝึกหัด 6



   บทที่ 6 การประยุกต์ใช้สารสนเทศในชีวิตประจำวั                                   กลุ่มเรียนที่ 4             รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                                รหัสวิชา 0026008

   ชื่อ-สกุล  นายพงศ์เทพ  ทรงคาศรี                                                                        รหัส 56010914267



1. การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นความหมายของข้อใด?
    1. เทคโนโลยีสารสนเทศ
    2. เทคโนโลยี
    3. สารสนเทศ
    4. พัฒนาการ
2. เทคโนโลยีสารสนเทศใดก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
    1. ควบคุมเครื่องปรับอากาศ
    2. ระบบการเรียนการสอนทางไกล
    3. การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
    4. การพยากรณ์อากาศ
3.การฝากถอนเงินผ่านตู้ ATM เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
    1. ระบบอัตโนมัติ
    2. เปลี่ยนรูปเเบบการบริการเป็นเเบบกระจาย
    3. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ
    4. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
4. ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    1. ระบบการโอนถ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
    2. บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต
    3. การติดต่อข้อมูลทางเครือข่าย
    4. ถูกทุกข้อ
5. เทคโนโลยีสารสนเทศหายถึงข้อใด?
    1. การประยุกต์เอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์
    2. ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
    3. การนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาสร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ
    4. การนำเอาคอมพวิเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูล
6.เครื่องมือที่สำคัญในการจัดการสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
    1. เทคโนโลยีการสื่อสาร
    2. สารสนเทศ
    3. คอมพิวเตอร์
    4. ถูกทุกข้อ
7. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    2. เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเปลี่อนสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน หรือสอบถามผลสอบได้
    3. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้บุคคลทุกระดับติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว
    4. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างหอพักอาศัยที่มีคุณภาพ
8. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานด้านสารสนเทศ?
    1. เครื่องถ่ายเอกสาร
    2. เครื่องโทรสาร
    3. เครื่องมินิคอมพิวเตอร์
    4. โทรทัศน์ วิทยุ
9. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    1. เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
    2. พัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านฮาร์ดเเวร์ ซอฟต์เเวร์ ข้อมูล และการสื่อสาร
    3. ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
    4. จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น
10.  ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
    1. ตรวจสอบผลการลงทะเบียน ผลการสอบได้
    2. สามารถสืบค้นข้อมูลได้จากเเหล่งข้อมูลที่มีอยู่ทั่วโลกได้
    3. ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครู อาจารย์ หรือส่งงานได้ทุกที่
    4. ถูกทุกข้อ

แบบฝึกหัดบทที่ 5 (กิจกรรม5)

แบบฝึกหัดบทที่ 5 การจัดการสารสนเทศ 


                                                                           แบบฝึกหัดที่ 5


บทที่5 
การจัดการสารสนเทศ                                                                                 กลุ่มเรียนที่ 4
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                                      รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นายพงศ์เทพ  ทรงคาศรี                                                                   รหัส 56010914267


1. จงอธิบายความหมายของการจัดการสารสนเทศ
     – การจัดการสารสนเทศ หมายถึง การจัดกิจกรรมหลัก ต่างๆ ในการจัดหา การจัดโครงสร้าง(organization) การควบคุม ผลิต การเผยแพร่และการใช้สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับ  การดำเนินงานขององค์การทุกประเภทอย่างมีประสิทธิผล ซึ่งสารสนเทศในที่นี้หมายถึงสารสนเทศทุกประเภทที่มีคุณค่าไม่ว่าจะมีแหล่ง กำเนิดจากภายในหรือภายนอกองค์การ

2. การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลและองค์การอย่างไร
  – การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลในการดำรงชีวิตประจำวัน การศึกษา และการทำงานประกอบอาชีพ ต่างๆ ความสำคัญในด้านการทำงาน บุคคลจำเป็นต้องใช้สารสนเทศทั้งที่เกี่ยวข้องกับองค์การ ภาระหน้าที่ ประกอบการทำงานทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการการจัดเก็บสารสนเทศที่ เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบตามภารกิจส่วนตัว ช่วยสนับสนุนให้สามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ทันการณ์ ทันเวลา

3. พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ยุค อะไรบ้าง
        – สามารถแบ่งออกเป็น 2 ยุค คือ
  • การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือ
  • การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์

4. จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวันมา อย่างน้อย 3 ตัวอย่าง
  1. การสื่อสารทางไกล ด้วยระบบ Internet
  2. การค้นหาข้อมูล ซึ่งมีความรวดเร็ว
  3. การติดตามข่าวสาร

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บทความที่ 2 7 วิธี ต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจ

                    7 วิธี ต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจ ของธุรกิจต่าง


ในช่วงเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลกเช่นนี้ คงต้องยอมรับความจริงที่ว่า ความต้องการในตลาดลดลงทำให้ธุรกิจหลายรายประสบความล้มเหลว ถึงขั้นต้องปิดกิจการ อย่างไรก็ไม่ควรนิ่งดูดายควรหาทางที่จะรับมือกับ อนาคตของธุรกิจของท่านที่จะเกิดขึ้น ลองมาดูเกร็ดความรู้ที่อาจจะช่วยได้ในยามนี้

1. พยายามรักษาการไหลเวียนของเงินสดไว้ให้ดี (Protect your cash flow) กระแสเงินสดเปรียบเสมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจยังคงมีชีวิตอยู่ได้ เงินสดจำเป็นต้องมีการไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเจอกับวิกฤติเช่นใดก็ตาม เพราะฉะนั้น ในช่วงนี้ธุรกิจต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับการดำเนินกลยุทธ์เพื่อคงสภาพของกระแสเงินสดไว้ให้มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

2. ทบทวนวิธีปฎิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (Review your inventory management practices) เพื่อเป็นการลดต้นทุนทางธุรกิจโดยไม่ต้องลดคุณภาพของสินค้าและบริการ หรือลดการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า สิ่งที่ต้องทบทวนโดยการตอบคำถามที่ว่า ธุรกิจมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามามากเกินไปในแต่ละครั้งหรือไม่ ? รายการสินค้าที่ซื้อเข้ามานั้นมีที่อื่นที่จะสามารถซื้อมาได้ในราคาถูกกว่าหรือไม่ ?
    มีวิธีการอื่นไหมในการส่งสินค้าที่ช่วยลดขั้นตอนการขนส่งและลดต้นทุนสินค้าคงคลัง ? ถึงเวลาที่ธุรกิจต้องทบทวนสิ่งเหล่านี้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องยึดติดอยู่กับซัพพลายเออร์เดิม หรือวิธีการเดิมในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง ตราบใดที่สิ่งใหม่ๆ จะสามารถช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้เพิ่มขึ้น

3. เน้นเฉพาะสินค้าและบริการหลักของธุรกิจเท่านั้น (Focus on your core competencies) การสร้างให้เกิดความหลากหลายในสินค้าและบริการ ก็เป็นหลักการบริหารจัดการอีกวิธีหนึ่งที่มักจะมีการแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจ แต่ในภาวะที่ทุกอย่างต้องทำด้วยความระมัดระวังเช่นนี้ การทุ่มเวลาและทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่มาให้ความสำคัญเฉพาะสิ่งที่ธุรกิจทำได้ดีที่สุด และสามารถทำกำไรให้ธุรกิจมากที่สุดดีกว่า

4. พัฒนากลยุทธ์สำหรับการแย่งชิงลูกค้าจากคู่แข่งขัน (Develop and implement strategies to get your competition’s customers) ถ้าธุรกิจต้องการที่จะรุ่งโรจน์ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำคือ การขยายลูกค้า หรือฐานลูกค้าออกไป ซึ่งนั่นหมายถึง การฉกฉวยเอาลูกค้าของคู่แข่งขันในธุรกิจมาไว้ในมือ สิ่งที่จะทำได้ก็โดยหาและสร้างสิ่งที่แตกต่างจากคู่แข่งขันให้ได้ มีการวิจัยเกี่ยวกับสถานการณ์การแข่งขัน โดยเฉพาะตัวคู่แข่งขัน เพื่อดูว่า อะไรที่จะสามารถนำเสนอแล้วดึงดูดความสนใจให้ลูกค้าหันมาใช้สินค้าและบริการของธุรกิจเรา การให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าเพิ่มขึ้นอาจเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่งในการฉกฉวยลูกค้ามาจากคู่แข่ง
5. รักษาลูกค้าที่มีอยู่ไว้ให้มากที่สุด (Make the most of the customers/clients you have) การรักษาลูกค้าเดิมไว้นับเป็นสิ่งสำคัญในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจาก โอกาสที่เขาและเธอจะเพิ่มยอดซื้อในสินค้ามีมากกว่าการที่จะเสียต้นทุนในการค้นหาลูกค้ารายใหม่ หลักการบริหารจัดการอันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในกรณีนี้คือ การบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relation Management : CRM)

6. ทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง (Continue to market your business) ในภาวะรัดเข็มขัด ธุรกิจหลายแห่งหันมาตัดงบประมาณทางด้านการโฆษณาลง ซึ่งหารู้ไม่ว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ การตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่ผู้บริโภคกำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงการซื้อสินค้าและบริการ ธุรกิจจะต้องช่วยให้ผู้บริโภคได้หันมาสนใจและเลือกใช้สินค้าและบริการที่ธุรกิจมี มากกว่าที่จะปล่อยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเอง ถ้าเป็นไปได้ ควรเพิ่มความพยายามในการทำการตลาดมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

7. รักษาเครดิตส่วนบุคคลไว้ให้คงอยู่ (Keep your personal credit in good shape) ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ การกู้ยืมเงินโดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ดูจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าคุณมีเครดิตส่วนบุคคลที่ยังพอไปได้ อาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น



อ้างอิ้ง http://www.thaifranchisecenter.com/document/show.php?docuID=871 (30/06/10)

บทความที่ 1 วันงดสูบบุหรีโลก

                                                              วันงดสูบบุหรี่โลก

ทุกๆ วันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี เป็น วันงดสูบบุหรี่โลก (World No Tobacco Day) โดย ได้มีการประกาศตั้งแต่ พ.ศ. 2531 ( ค.ศ. 1988) โดยองค์การอนามัยโลก ได้มีการกำหนดกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ทั้งภาครัฐ ชุมชน และประชากรโลก ให้ตระหนักถึงพิษภัยและโทษของบุหรี่ เพื่อให้ประชากรโลก และเยาวชน ลด ละ เลิกบุหรี่นั้นเอง ทั้งนี้ เรามาทำความรู้จักกันตั้งแต่เริ่มต้นกันเลยว่า บุหรี่ มีที่มาอย่างไร

โดยมีการบำบัดผู้สูบบุหรีให้มาเคี้ยวหมากฝรั่งเลิกบุหรี่
เนื่องจากหมากฝรั่งชนิดนี้ประกอบด้วยนิโคตินในปริมาณต่ำ ๆ ( 2 และ 4 มิลลิกรัม/ชิ้น ) ทําให้ผู้ต้องการเลิกบุหรี่ไม่รู้สึกทรมานจากการขาดนิโคตินมากนัก เนื่องจากยังได้รับนิโคตินจากหมากฝรั่งอยู่ แต่ต้องเข้าใจนะค่ะว่าหมากฝรั่งเลิกบุหรี่จัดเป็นยาชนิดหนึ่ง ซึ่งต้อง

ใช้อย่างถูกวิธี
การใช้หมากฝรั่งเลิกบุหรี่มีขั้นตอนดังนี้                                                                                                                 * หยุดสูบบุหรี่ทันทีที่เริ่มเคี้ยวหมากฝรั่งเลิกบุหรี่                                                                                       * หามกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรด เช่น น้ำส้ม น้ำอัดลม ไวน์ กาแฟ 15 นาทีก่อนเคี้ยวและระหว่างเคี้ยวหมากฝรั่งเลิกบุหรี่
          * เคี้ยวหมากฝรั่งชาๆจนได้รสเผ็ดซาไม่ควรเคี้ยวเร็วจนเกินไป ให้มีจังหวะหยุดเป็นพักๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น การระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร การปวดมวนในท้องหรือท้องอืด แล้วจึงหยุดเคี้ยวและอมหมากฝรั่งไว้ระหว่างกระพุ้งแก้มและเหงือก จนรสซ่าหายไป จึงเคี้ยวใหม่ ทําสลับกันนาน 30 นาทีและเปลี่ยนชิ้นใหม่ทุก 1-2 ชั่วโมง                                                                                                     * หากสูบบุหรี่วันละ 1-24 มวน ให้เคี้ยวหมากฝรั่งชิ้นละ 2 มิลลิกรัม วันละไม่เกิน30 ชิ้น                               * หากสูบบุหรี่วันละ 25 มวนขึ้นไป ให้เคี้ยวหมากฝรั่งขนาดชิ้นละ 4 มิลลิกรัมวันละไมเกิน 15 ชิ้น               * ไม่ควรรอจนรู้สึกอยากบุหรี่แล้วจึงใช้หมากฝรั่งเลิกบุหรี่ ควรเคี้ยวเป็นประจําตามเวลาที่กล่าวข้างต้น

ประวัติของบุหรี
              เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2035 ชาวอินเดียแดง ชนเผ่าพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ได้เริ่มต้นใช้ยาสูบเป็นพวกแรก โดยชาวพื้นเมืองนั้นใช้ใบไม้ชนิดหนึ่งมามวนและ จุดไฟตอนปลายแล้วดูดดมควัน ต่อมาใน พ.ศ. 2091 ที่ประเทศบราซิลได้มีการปลูกยาสูบไว้เป็นพืชเศรษฐกิจ  และก็เริ่มมีการแพร่หลายกันมากขึ้น จนมาถึง พ.ศ. 2455 นาย จอห์น รอลฟ์ (John Rolfe) ชาวอังกฤษ ได้ทำการจดทะเบียนในการปลูกยาสูบเชิงพาณิชย์ ซึ่งตั้งแต่วันนั้น ก็ได้แพร่หลายสู่ทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้


ประวัติของบุหรี่ในประเทศไทย
             ใน ประเทศไทยเรานี้เริ่มต้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีหลักฐานจากจดหมายเหตุของ เมอร์ซิเออร์ เดอลาลูแบร์ (Momsieur De La Loubre) อัครราชทูตฝรั่งเศส ได้เดินทางมาเมืองไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. 2230 เขียนเล่าเรื่องไว้ว่า คนไทยชอบใช้ยาสูบอย่างฉุนทั้งชายและ หญิง โดยได้ยาสูบมาจากเมืองมะนิลา ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และประเทศจีน ครั้นมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการผลิตบุหรี่ขึ้นโดยบริษัทที่มีชาวอังกฤษ เป็นเจ้าของในพ.ศ. 2460 ด้วยวิถีการผลิตด้วยมือ จากนั้นรัชสมัยสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการนำเครื่องจักรเข้ามาผลิต ทำให้การสูบบุหรี่เกิดการแพร่หลายมากขึ้น จนมาถึง พ.ศ. 2482 รัฐบาลได้จัดตั้งโรงงานยาสูบขึ้น โดยใช้ชื่อกิจการมาจากห้างหุ้นส่วนบูรพายาสูบ จำกัด  โดยดำเนินกิจการอุตสาหกรรมยาสูบภายใต้การควบคุมของกรมสรรพสามิต ต่อมาเศรษฐกิจได้พัฒนามากขึ้น จึงมีการรวมกิจการต่างๆ เข้าด้วยกัน และดำเนินการภายใต้ชื่อ โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง มาจนถึงปัจจุบัน

โทษของการสูบบุหรี่
ปัจจุบัน นี้เรารู้กันอยู่แล้วว่า บุหรี่นั้นมีโทษภัยร้ายแรงทั้งตัวผู้สูบและ บุคคลรอบข้าง วันนี้จึงได้นำข้อมูลที่เกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่มาทบทวนกันให้ทราบถึงโทษของบุหรี่ หลักๆ เพื่อเป็นแรงผลักดันให้งดสูบบุหรี่ หรือเลิกสูบบุหรี่ ดังนี้ 
1.บุหรี่ เป็นชื่อเรียกชนิดหนึ่งของ ยาสูบ ซึ่งมีคนนิยมมาก                                                                          2.ยาสูบ เป็นพืชที่ปลูกได้ในทุกสภาพดินและ อากาศ ส่วนที่สร้างปัญหาทางด้านสุขภาพขอยาสูบคือ ใบ                                                                                                                                                            3.ใบ ยาสูบ มีส่วนประกอบต่างๆ มากกว่า 4,000 ชนิด เมื่อเกิดการเผาไหม้ ทั้งสารเคมีที่มีพิษและ ไม่มีพิษ ซึ่ง ส่วนใหญ่คือสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ความดัน โรคหัวใจ
4.การสูบบุหรี่ ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศลดลง ฟันเหลือง ตาแดง เล็บเขียว มีกลิ่นปาก                     5.บุหรี่ คือ ฆาตรกรเงียบ ที่ทำร้ายชีวิตของเราโดยไม่รู้ตัว ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำร้ายคนข้างกาย คนที่เรารักอีกด้วย

อ้างอิ้งhttp://scoop.mthai.com/specialdays/5136.html (29/06/58)

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดบทที่4 (กิจกรรม4)

                                                           แบบฝึกหัดบทที่ 4

 แบบฝึกหัด

บทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ                                                                 กลุ่มเรียนที่ 4

รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                รหัสวิชา 0026008


ชื่อ-สกุล  นายพงศ์เทพ  ทรงคาศรี                                                  รหัส
56010914267





จงตอบคำถามต่อไปนี้



1.ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสานเทศตามหัวข้อต่อไปนี้
อย่างน้อยหัวข้อละ 3 ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจกับเพื่อน
     1) การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล
          Floppy Disk , DVD , Blu-ray Disc
     2) การแสดงผล
          จอมอนิเตอร์ , เครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์ , เครื่องพิมพ์
     3) การประมวลผล
          CPU , RAM , Software
     4) การสื่อสารและเครือข่าย
          อินเตอร์เน็ต , โทรทัศน์ , วิทยุ

2.ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความสัมพันธ์กัน
      ซอฟต์แวร์ประยุกต์
     3  Information Technology
     1  คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
     6  เทคโนโลีสารสนเทศ ประกอบด้วย
     10  ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
     7  ซอฟต์แวร์ระบบ
     9  การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดียที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตน    
         เองได้ตามระดับความสามารถ
     5  EDI
     4  การสื่อสารโทรคมนาคม
     2  บริการชำระภาษีออนไลน์